วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554

JEEP Compass รุ่นปี 2011

Jeep Compass รุ่นปี 2011 เป็นรถครอสโอเวอร์หรือ CUV ซึ่งดึงสไตล์มาจาก Jeep Grand Cherokee รุ่นปี 2011  
นอกจากลักษณะภายนอกรถที่ได้รับการปรับโฉมใหม่หมดจากรุ่นก่อนหน้าแล้ว Jeep Compass รุ่นปี 2011 ได้รับการอัพเกรด ระบบกันสะเทือนและระบบพวงมาลัยปรับปรุงใหม่พร้อม ห้องโดยสารที่ได้รับการอัพเกรดจากรุ่นก่อน ด้วยวัสดุใหม่
ในด้านเครื่องยนต์ สิ่งใหม่ที่โดดเด่นในรุ่นนี้คือ รุ่น AWD มีอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานอยู่ที่ 12 กม/ลิตร ซึ่งจัดอยุ่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับรถประเภทเดียวกัน
นอกจากนี้ รถรุ่นท็อปของ Jeep Compass รุ่นปี 2011 คือรุ่น Freedom Drive II ยังได้รับป้าย Trail Rated ที่พบในรถ Jeep รุ่นอื่นๆด้วย โดย Trail Rated ยืนยันการผ่านมาตรฐานความสมบุกสมบันของรถออฟโร้ดจากการทดสอบโดยศูนย์ Nevada Automotive Test Center สหรัฐอเมริกา
ภายนอกรถ
  • ท้ายรถใหม่
  • สปอยเลอรืท้ายสีเดียวกับรถ
  • ไฟ LED ท้ายรถ
  • ขอบแร็คหลังคาใหม่
  • ล้อ 17 นิ้ว อลูมิเนียม หรือ 18 นิ้ว อลูมิเนียมหรือโครเมี่ยม
ห้องโดยสาร
  • แผงประตูใหม่ วัสดุนิ่ม
  • ที่วางแขนใหม่
  • พวงมาลัยมีชุดควบคุมระบบภายในรถเช่น cruise control, โทรศัพท์มือถือ, วิทยุ
  • เบาะผ้าวัสดุใหม่
  • ซันรูฟไฟฟ้า
  • ลำโพง Boston Acoustic 9 ตัว
เครื่องยนต์ใน Jeep Compass ปี 2011 มีสองตัวคือ
  • เครื่องสี่สูบตรง 2.0 ลิตร, กำลัง 158 แรงม้า, แรงบิด 191 นิวตันเมตร
  • เครื่องสี่สูบตรง 2.4 ลิตร, กำลัง 172 แรงม้า, แรงบิด 223 นิวตันเมตร
ระบบส่งกำลังสองตัวเลือกใช้ได้กับเครื่องทั้งสองรุ่นคือ
  • เกียร์ธรรมดา 5 ระดับ
  • เกียร์ CVT2
ระบบขับเคลื่อน
  • ล้อหน้า
  • AWD
มีสามรุ่นให้เลือก
  • รุ่นมาตรฐาน
  • รุ่น Freedom Drive I ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ
  • รุ่น Freedom Drive II Off-Road ขับเคลื่อนสี่ล้อ, CVT2L, ล้อและยางสำหรับทุกสภาพถนน, ช่วงล่างยกขึ้น, และอุปกรณ์เสริมสำหรับอ๊อฟโร้ดอีกมาก

JEEP โบราณกาล (ภาค 2)

Willys MA  
ผลิตปี ค.ศ 1941 จำนวนที่ผลิต 1,553 คัน

คือรุ่นต่อมาของบริษัท Willys ที่ผลิต และพัฒนาขึ้นมาภายใต้สัญญาการผลิตรถ จำนวน 1500 คันในปี 1941 เช่นเดียวกันกับ Bantam BRC-40 , รถรุ่นนี้เปรียบเหมือนภาพในกระจกเงาของ BRC-40 เพียงแต่มีอุปกรณ์มากขึ้น แล้วก็มีกำลังมากกว่า MA ได้รับเลือกโดย กองทัพให้เป็นรถต้นแบบ "Basic Version" กระจังหน้าหม้อน้ำเป็นแบบเชื่อมคล้ายบานแกร็ด "Slat grill" นี้ ส่วนใหญ่ถูกส่งไปใช้งานในประเทศรัสเซีย ภายใต้สัญญาการให้ยืมอุปกรณ์เพื่อต่อสู้สงคราม


                Ford GP
ผลิตปี ค.ศ 1941 จำนวนที่ผลิต 4,456 คัน

เป็นรุ่นที่ต่อมา ที่ฟอร์ดได้ทำการผลิตตามคำสั่งของกองทัพจำนวน 1500 คัน รุ่นนี้มีความคล้ายคลึงกับรุ่นต้นแบบ (pygmy) ที่ฟอร์ดพึงพอใจมาก สำหรับชื่อรุ่นของรถรุ่นน ี้มีที่มาที่ตรงกันข้ามกับความเชื่อส่วนใหญ่ว่า GP มาจากคำว่า General Purpose แต่ที่แท้จริงความหมายของ GP คือ รหัสทางการผลิตของฟอร์ด "G" หมายถึง Government Contract vehical และ "P" เป็นรหัสรถตรวจการที่มีความกว้างฐานล้อ 80 นิ้ว


Willys MB & Ford GPW : Hero of World War II
ผลิตปี ค.ศ. 1941 - 1945 จำนวนที่ผลิต 639,235 คัน
รุ่นนี้ได้ถูกใช้อย่างแพร่หลาย ในหลายสมรภูมิสงคราม ถือว่าเป็นรุ่นที่ก้าวเข้าสู่ความเป็นรุ่นมาตรฐานของ Jeep เพราะว่าในขณะนั้น บริษัท Willys มีกำลังการผลิตที่จำกัด ไม่ทันต่อการใช้งาน ทางกองทัพสหรัฐจึงติดต่อให้บริษัท ฟอร์ดผลิตรถ Jeep ขึ้นตามรูปแบบ เดียวกันกับของ Willys (บางแหล่งข้อมูลบอกว่า Willys ว่าจ้างช่วงต่อให้ Ford เพราะทางบริษัทผลิตไม่ทัน) รถรุ่นนี้รูปแบบตะแกรง หน้าปั๊มขึ้นรูป พร้อมซ่อนไฟหน้าหุบเข้าไปข้างในกันชน และฝากระโปงแบบเรียบ โดย Willys ใช้เครื่อง 4 สูบ ชื่อ "Go-Devil" L-head 134 I4 ใช้ไฟระบบ 6 โวลท์ และที่แปลกกว่ารุ่นอื่นคือ ไฟหน้าเป็นแบบขอเกี่ยว สามารถหันกลับมาส่องข้างหลังด้านเครื่องได้ด้วย ในกรณีที่ต้องซ่อมเครื่องเวลากลางคืน ถึงแม้ว่า 2 ยี่ห้อนี้มีความแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย แต่ชิ้นส่วนทั้งหมด สามารถทดแทนกันได้

Willys M38 (MC)
ผลิตปี ค.ศ. 1950 - 1952 จำนวนที่ผลิต 45,473 คัน (เฉพาะใช้ภายในประเทศสหรัฐ)
M38 เป็นรุ่นในกิจการทหารที่ผลิตต่อมา หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 รถรุ่นนี้มีต้นแบบมาจากรถแบบพลเรือน คือรุ่น CJ-3A แต่ได้พัฒนาในสามารถใช้ในกิจการทหาร ได้เข้าประจำการในสงครามเกาหลี กันชนหน้าเป็นแบบเรียบ แผงกระจกพับได้แบบชิ้นเดียว จุดหมุนที่ปัดฝนอยู่ด้านล่าง ไฟหน้ามีแผงป้องกันการกระแทก โดยรถที่ใช้ใน กิจการทหารได้ทำการเสริมความแข็งแรงที่โครงสร้าง และช่วงล่าง รถรุ่นนี้ใช้ไฟระบบ 24 โวลท์ ได้มีการผลิตและส่งออกไป ต่างประเทศ เพื่อใช้ในกิจการทหารในช่วงปี 1953-1955
 


                      Willys M170
ผลิตปี ค.ศ. 1953 - 1963 จำนวนที่ผลิต 6,500 คัน

รุ่นนี้ได้ยืดตัวถังออกมาจากรุ่น M38A1 ส่วนใหญ่จะนำไปใช้เป็นรถพยาบาล หรือบางที่เช่นกองทัพเรือนำไปเป็นรถส่งกำลังพลขนาด 6 ที่นั่ง ส่วนที่โดดเด่น คือ จุดยึดยางอะไหล่อยู่ด้านในตัวถัง บริเวณห้องโดยสาร รถรุ่นนี้ได้รูปแบบมาจากรุ่น CJ-6 โดยได้ทำการผลิตใช้ในช่วง 10 ปี ด้วยจำนวนถึง 6500 คัน


Ford-American General M151 "Mutt" Military Unit Tactical Truck 
ผลิตปี ค.ศ. 1960 - 1969 จำนวนที่ผลิต (ไม่มีแหล่งข้อมูล)

ได้ถูกทดสอบและพัฒนาคิดค้นโดย
Ford ตั่งแต่ในช่วงปี 1950 - 1959 มันได้ถูกผลิตโดย Willys Motors (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Kaiser Jeep) , AM General, General Motors และ Ford ในปีต่อมา

Jeep รุ่นนี้ได้ถูกนำมาทดแทนรุ่น M38 และ M38A และถูกนำมาใช้ในช่วงสงครามเวียดนาม โดยมีการเปลี่ยนแปลงช่วงล่างหน้าหลัง เป็นแบบ Trailing arm มีลักษณะกระจกถอด และพับได้ และกระจังหน้าแบบปั๊มขึ้นรูปมีช่องตามแนวนอน ในตอนแรกมีรายงานว่า รถรุ่นนี้มีสถิติการพลิกคว่ำสูงมาก จนทำให้รัฐบาลต้องสั่งออกแบบใหม่ และติดตั้งอุปกรณ์ Roll Over Protection ( ROPS) และติดเข็มขัดนิรภัยทุกคัน

JEEP โบราณกาล

Bantam Pilot(BRC-60)  
ผลิตปี ค.ศ 1940 จำนวนที่ผลิต 70 คัน
ผลิตโดยบริษัท American Bantum Car Company of Bulter ใช้เวลา 49 วันหลังจากเซ็นสัญญา ถูกส่งมอบที่ Camp Holabird ,MD เมื่อวันที่ 23 ก.ย1940 รถคันแรกของล็อตนี้อยู่ภายในสัญญา" Old Number One"
โดย Willys and Ford ได้ใช้ต้นแบบรถนี้ในการผลิตรถของตัวเองเพื่อแข่งขันกับ Bantam เพื่อการเซ็นสัญญากับกองทัพสหรัฐด้วย
Willys Quad
ผลิตปี ค.ศ 1940 จำนวนที่ผลิต 2 คัน
Willys ได้ผลิตรถรุ่นนี้ออกมา 2 คันเพื่อใช้ในการนำเสนอให้กับกองทัพสหรัฐก่อนที่จะผลิตจริงออกมาเป็นล็อตใหญ่ และก็ประสบ ความสำเร็จ โดยQuad รุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์ขนาด 60 แรงม้าที่ชื่อ "Go-Devil" อย่างไรก็ตามรถรุ่นนี้มีปัญหาเรื่องน้ำหนัก ที่เกิดพิกัดของกองทัพสหรัฐและจำเป็นต้องทำการปรับแต่งใหม่อย่างมาก ถ้าเปรียบว่ารถคันแรกของ Bantam เป็นต้นกำเนิดของยุค Jeepล่ะก็ Quad ก็ เปรียบเสมือนภาพลักษณ์ต้นแบบของรถตระกูล Willys ต่อ ๆ มาก็ว่าได้
Ford Pygmy 
ผลิตปี ค.ศ 1940 จำนวนที่ผลิต 2 คัน
"Pygmy" เป็นรถต้นแบบของฟอร์ด ได้ถูกส่งมอบให้กองทัพสหรัฐในเดือนธันวาคม ค.ศ.1940 เพื่อทดสอบและแข่งขันกับBantam และ Willys รูปทรงต่างๆคล้ายกับรถ 2 ยี่ห้อแรก ยกเว้นเครื่องที่ใช้เครื่องรถบรรทุกของฟอร์ด ส่วนประกอบอื่นๆที่แปลกออกไปคือ ฝากกระโปรงที่แบนราบ ไฟหน้าที่หุบเข้าไปข้างในกระจังหน้า



JEEP WRANGLER SAHARA 2001

JEEP WRANGLER อีกหนึ่งความใฝ่ฝันของนักออฟโรด จัดว่าเป็นรถออฟโรดที่มีรูปทรงร่วมสมัยแห่งความคลาสสิคสไตล์ออฟโรดและความดุดันไว้อย่างลงตัว เรียกกันได้ว่าเดิมๆ รถก็ดูดีอยู่แล้ว ยิ่งจับมาแต่งองค์ทรงเครื่องให้มีสมรรถนะเพิ่มมากขึ้นก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่

         Mr.Guy Braverman นักธุรกิจส่งออกอัญมณี ผู้เป็นเจ้าของรถ แม้จะไม่ใช่คนไทยแต่ด้วยใจที่รักเมืองไทย และใช้ชีวิตอยู่ในไทยมานานหลายปี จนกลายเป็นชาวไทยคนหนึ่งไปแล้ว ที่สำคัญเขายังเป็นคอออฟโรดอีกด้วย เมื่อมีโอกาสก็มักจะพาภรรยาคู่ใจขับเจ้ารถคันเก่งคันนี้ เดินทางเข้าป่าออกทริปอยู่เสมอๆ

          คราวนี้มาว่ากันถึงรายละเอียดในส่วนต่างๆ ของเจ้า JEEP WRANGLER TJ SAHARA 2001 คันนี้ว่าได้ทำการตกแต่งลงไปนั้นว่ามีอะไรบ้าง และมีประสิทธิภาพการใช้งานเป็นอย่างไร
ม้ากล้ามใหญ่ 200 กว่าตัวซุกซ่อนอยู่ใต้ฝากระโปรง

         เริ่มต้นที่เรื่องของขุมพลังกันเป็นอันดับแรก เครื่องยนต์ของเจ้ารถคันนี้ใช้ระบบ SEQUENTIAL MULTIPOINT ELECTRONIC FUEL INJECTION เป็นเครื่องยนต์สูบเรียงจำนวน 6 สูบ ความจุ 4,000 ซี.ซี. ใช้น้ำมันเบนซิน (แก๊สโซลีน) เป็นเชื้อเพลิง เรียกกันในหมู่ผู้ที่ใช้รถ JEEP ว่าเครื่อง POWER TECH 16? แรงม้าสูงสุดอยู่ที่ 195 HP ที่ 4,600 รอบ/นาที ให้แรงบิดสูงสุดถึง 223 ปอนด์-ฟุต ที่ 2,800 รอบ/นาที
ขุมพลังที่มีทั้งหมดของเครื่องตัวนี้ถูกปรับแต่งกันใหม่ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นด้วยการเปลี่ยนกรองอากาศ จากของเดิมเปลี่ยนมาใช้กรองเปลือยขนาดยาวและใหญ่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดไอดีป้อนเข้าสู่ห้องเผาไหม้ให้มีปริมาณที่มากขึ้นด้วยกรองเปลือยของ FIPK จากประเทศสหรัฐอเมริกา แค่เฉพาะตรงนี้แรงม้าของเครื่องยนต์ก็กระเถิบเพิ่มขึ้นมาได้อีกเกือบ 9.1 HP
ยังไม่จบเท่านี้ เมื่อการบรรจุไอดีเข้าสู่ห้องเผาไหม้มากขึ้นแล้ว ก็จะมาถึงเรื่องของการระบายออก หรือการคายไอเสียของท่อไอเสีย ไอดีเข้ามากแต่ไอเสียออกไม่ทันเดี๋ยวมันจะอึดอัด เลยจัดการเปลี่ยนชุดท่อไอเสียซะใหม่เป็นท่อสเตนเลสของ BORA จากอเมริกาอีกเช่นกัน ผลทำให้การคายไอเสียของท่อทำได้โล่งขึ้น

          เครื่องยนต์ตัวนี้ได้มีการติดตั้งอุปกรณ์เสริมเพื่อช่วยควบคุมระบบ PCM (POWER CONTROL MODULE) เพื่อเพิ่มแรงบิดและแรงม้าให้มากขึ้น และมีความสัมพันธ์กับการใช้งานด้วยการติดตั้งชิพที่เป็นของ JET PERFORMANCE COMPUTER CHIP STATE 1 และสุดท้ายในเรื่องของระบบจุดระเบิดได้ทำการเปลี่ยนสายหัวเทียนจากเดิมมาใช้ของ SPRITFIRE รุ่น TRIPLE PLATINUM ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ให้ดียิ่งขึ้น จากที่ทำมาทั้งหมดนี้ทำให้เครื่องยนต์มีแรงม้าเพิ่มเป็น 200 กว่าตัวเลยทีเดียว
ระบบส่งกำลังที่พร้อมลุยเต็มอัตราศึก

         ผ่านไปกับเรื่องของเครื่องยนต์ คราวนี้ลองมาดูกันที่ระบบส่งกำลังกันว่าได้ทำอะไรลงไปบ้าง เริ่มจากเพิ่มความแข็งแรงให้กับเพลาส่งกำลัง ลดการสึกหรอ และเพิ่มแรงบิดอีกกว่า 54 % SLIP YOKE ELIMINATOR จัดการเปลี่ยนเพลาขับสำหรับ OUT PUT SHAFT ให้กับ NV 231 เป็นของ DANA SPICER รวมถึงเพลากลางที่เป็นแบบ U JOINTเปลี่ยนใหม่มาใช้แบบ CV JOINT DRIVE SHAFT ที่เป็นของ DANA SPICER เช่นกัน ผลที่ได้คือช่วยเพิ่มการให้ตัวและให้ความแข็งแรง และมีความยืดหยุ่นที่ดี
        

         ยังไม่หมดเท่านี้ ในคันนี้ยังได้เพิ่มสมรรถนะการส่งกำลังให้สามารถทนแรงบิดได้ดีขึ้นกว่าเดิมถึง 3 เท่า ด้วยการเปลี่ยนชุดกากบาทใหม่ของ CTM ซึ่งเป็นแบบ BUSH ในส่วนของเพลาข้างทั้งด้านหน้าและด้านหลังได้เปลี่ยนมาใช้เป็นแบบ HIGH STRENGTH ALLOY 4340 ของยี่ห้อ SUPERIOR และ WARN เปลี่ยนอัตราทดของเฟืองท้ายใหม่ทั้งหมดเป็น DIFFERENTIAL RATIO ขนาด 4.88 ของ DANA ติดตั้งแอร์ล็อกเกอร์ และปั๊มลม ของ ARB ป้องกันการหมุนฟรีของล้อได้ถึง 100%
ความสูงที่เพิ่มขึ้นแต่มีประสิทธิภาพที่ดี

         ทีนี้มาถึงในเรื่องของระบบช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยว มาดูที่ช่วงล่างกันก่อน เสริมความสูงตัวถังรถด้วยการใช้ชุดล่วงล่างของ SKY JACKER เป็นชุด ROCK READY 6 นิ้ว ช่วยทำให้รถมีความสูงเพิ่มขึ้นอีก 6 นิ้ว เพิ่มความสามารถในการปีนป่าย และการให้ตัวได้มากกว่าเดิมถึง 80% ในที่นี้ยังรวมไปถึงการใส่โช้คอัพแก๊ส คอยล์สปริง SUB FRAME และโช้คกันสะบัดครบชุดที่เป็นของ SKY JACKER ในส่วนของกันโคลงนั้นใช้ของ JKS SWAY BAR รุ่น QUICK DISCONNECT สามารถใช้งานได้ทั้งในทาง ON ROAD และ OFF ROAD มีการให้ตัวที่ดีและมีความทนทาน
เมื่อแต่งรถให้สูงขึ้นก็ต้องทำการ DROP PITMAN ARM ลงมาเพื่อชดเชยช่วยลดองศาการทำงานของลูกหมากคันส่งให้น้อยลง และลดอาการ BUMP STEERING เพื่อป้องกันกระปุกพวงมาลัยแตกและตัวถังร้าว ด้วยชุด DROP PITMAN ARM ของ SKY JACKER
ส่วนในด้านของระบบบังคับเลี้ยวนั้นรถคันนี้ได้เปลี่ยนกระปุกพวงมาลัย และปั๊มพวงมาลัย (ปั๊มเพาเวอร์) เพื่อให้สัมพันธ์กับขนาดของยางที่ใหญ่ขึ้น และลดแรงกระแทกที่มากขึ้น

         อุปกรณ์เสริมเพื่อช่วยป้องกัน
มาดูกันที่อุปกรณ์เสริมกันบ้าง เริ่มกันที่กันชนหน้าเป็นอย่างแรก JEEP คันนี้เลือกใช้กันชนในส่วนของด้านหน้าที่แข็งแกร่ง และทนทานของ HANDSOM ENTERPRISE จากประเทศสหรัฐอเมริกา ในส่วนของกันชนหลังนั้นได้สั่งพิเศษจาก ROCK CRUSHER รุ่น EXTREMA HEAVY DUTY ที่สามารถรองรับที่แขวนยางขนาดใหญ่ ส่วนการป้องกันชิ้นส่วนต่างๆ (GUARD) เพื่อกันการเสียหายนั้น ไม่ว่าจะเป็น การ์ดป้องกันถังน้ำมัน (รุ่น SKID PLATE) การ์ดป้องกันกระปุกพวงมาลัย การ์ดป้องกันการกระแทกอ่างน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ และป้องกันเกียร์ TRANSFER CASE คันนี้เลือกใช้ของ SKID ROLL จาก SKID PLATE AUTO MOTIVE

         รถ JEEP คันนี้ยังไม่เหมือนใครตรงที่มีการติดตั้งกระจกไฟฟ้า (POWER LOCK) เข้าไปอีกด้วยเพื่อความสะดวกสบายในการเปิด-ปิดกระจก แถมท้ายด้วย SWAY BAR DISCONNECT ของ JKSWINCH ของ RAMSEY รุ่น PLATINUM ขนาด 9,500 ปอนด์ ทั้งแข็งแรง และกินไฟน้อย เพื่องานฉุดลากรถ เพิ่มชุดไฟส่องสว่างในการเดินทางในถิ่นทุรกันดารที่มืดมิด ด้วยไฟสปอทไลต์ของ WARN รถคันนี้ยังมีการติดตั้ง SPEED CALIBRATOR ของ SUPER LIFT เพื่อใช้ในการปรับแต่งค่าความเร็วให้เป็นจริง เพราะรถที่ใส่ยางที่มีขนาดใหญ่ ย่อมมีอัตราทดของระบบวัดความเร็วที่คลาดเคลื่อนไปด้วย อุปกรณ์ตัวนี้ช่วยให้การปรับแต่งค่าการแสดงผลความเร็วได้ตามจริง
         ล้อโต และแม็กใหม่
ล้อเป็นอีกส่วนที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าส่วนอื่น นอกจากจะทำให้รถดูดีและสวยแล้ว การเลือกใช้ล้ออะลูมิเนียม หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า
ล้อแม็ก? ที่ดีย่อมมีผลกับเรื่องของความปลอดภัยในขณะขับขี่อีกด้วย ล้อที่ JEEP คันนี้เลือกคบด้วยเป็นล้อของ MICKY TOMPSON ขนาด 10/12 R 15 ปกป้องล้อแม็กด้วยยาง TSL BOGGER SUPER SWAMPER ขนาด 35 X14 55-15 LT
เรียกกันได้ว่ารถ JEEP WRANGLER TJ. SAHARA 2001 ฝีมือ GMC-FORCE WORKSHOP คันนี้ดูดุดันพร้อมลุยเต็มที


JEEP WARNGLER Mojave



Jeep Wrangler รุ่นไมเนอร์เชนจ์ปี 2011 ได้เริ่มทำตลาดในอเมริกาไปแล้ว 2-3 เดือน แต่ Jeep ยังรุกต่อด้วยการเปิดตัวรถ 4×4 รุ่นพิเศษที่ใช้ชื่อว่า Mojave ที่นำมาจากชื่อทะเลทราย Mojave Trail โดยรถรุ่นนี้มีความพิเศษทั้งภายนอกและภายใน รวมถึงชุดล้อและยางที่ดูบึกบันตามสไตล์ของรถกิจกรรมกลางแจ้ง Wrangler Mojave ใช้พื้นฐานของรุ่น Sport ใช้สีตัวถังภายนอกโทนทะเลทรายโดยมีหลังคาและบังโคลนเป็นสีเดียวกับตัวถัง มีสติ๊กเกอร์คำว่า “Mojave” และรูป กิ้งก่าทั้งด้านหน้าและหลังของรถ ขณะที่บันไดด้านข้างนำมาจากรุ่น Sahara ส่วนชุดล้อและยางนำมาจาก Wrangler Rubicon ล้ออัลลอยเป็นสีเทา Mineral Gray ขอบ 17 นิ้วหุ้มด้วยยางขนาด 32 นิ้ว ประตูเปิดถังน้ำมันสีดำ ไฟท้ายมีโครงเหล็กกันชนสีดำ สำหรับสีตัวถังภายนอกมีให้เลือก 3 สีคือ น้ำตาลอ่อน ขาว และดำ
ภายในห้องโดยสาร อุปกรณ์เด่นๆได้แก่ หนังอานม้าสีเข้มพร้อมโลโก้กิ้งก่าหุ้มเบาะนั่งด้านหน้า มือจับช่วยทรงตัวที่ด้านหน้าผู้โดยสารเบาะหน้า มือจับเหนือศีรษะ และพรมปูพื้นของ Mopar
Jeep จะเริ่มจำหน่าย Wrangler Mojave ในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไปในราคาเริ่มต้นที่ 29,195 เหรียญสหรัฐฯ ไม่รวมค่าขนส่งซึ่งอยู่ที่ 750 เหรียญฯ

HUMMER H2 คลอดเเล้ว

กำเนิดจากภารกิจรับใช้กองทัพในฐานะยุทธยานยนต์คันหลัก จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นรถ "Humvee" ตามภาพยนตร์แนวสงครามหลายต่อหลายเรื่อง ทางผู้ผลิตในสมัยนั้น คือ "AM General Corporation" มองเห็นช่องทางด้านการตลาดจึงได้ผลิตออกขายให้กับพลเรือนทั่วไป และเปลี่ยนชื่อซะใหม่เป็น "Hummer" โดยรูปทรงภายนอกยังคงโหดเหมือนเดิมทุกประการ วัสดุต่างๆ เปลี่ยนไปเล็กน้อยเพื่อให้เหมาะสมกับรถใช้งานบนท้องถนน ภายในติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเพิ่มเข้าไปเพื่อให้แตกต่างกับรถใช้งานในกองทัพ อาทิ กระจกไฟฟ้า ระบบปรับอากาศ เครื่องเสียง พรมปูพื้น และวัสดุดูดซับเสียงภายในห้องโดยสาร ในบอดี้นั้นมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า "H1"
จนในปี 1999 รถลุยค่ายนี้ตกไปอยู่ภายใต้ร่มเงาของ "GM" หนึ่งใน "Big Three" ของสหรัฐอเมริกา การบริหารงานและแผนการตลาดจึงเป็นระบบมากยิ่งขึ้น แล้วในที่สุดก็คลอดตัว "H2" ออกมา โดยเน้นขนาดที่เล็กลง ตัวถังที่เบาขึ้นเพราะตัว "H1" น้ำหนักรวมทะลุ 3 ตัน ไปอีก 251 กก. และที่สำคัญรูปลักษณ์ต้องเข้าตากรรมการมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่ดิบและสุดแสนจะดุดันเหมือนในเวอร์ชั่นแรก

การออกแบบ Hummer H2 ยังอยู่ในรูปทรงกล่อง ไม่แตกต่างจาก H1 มากนัก จนฝรั่งตั้งชื่อให้เป็น "Hummer DNA" แต่ถูกลบเหลี่ยมออกไปเล็กน้อย ดูทันสมัยมากขึ้น เมื่อจับไเปรียบเทียบสัดส่วนกัน H2 จะยาวกว่าอยู่ 134 มม.นัยว่าต้องการเพิ่มพื้นที่ภายในห้องโดยสาร รวมถึงเผื่อไว้สำหรับเบาะนั่งแถวที่สาม ทางด้านความสูง H2 สูงกว่า 71 มม. สำหรับความกว้างอันเคยเป็นอุปสรรคบ้างในตัว H1 เมื่อต้องวิ่งร่วมถนนกับรถคันอื่นๆ ด้วยขนาด 2,197 มม. มาถึง H2 ถูกลดลงเหลือ 2,062 มม.

แผงหน้าปัด และคอนโซนออกแบบใด้อย่างลงตัวสุดๆ



การวางเครื่องยนต์อยู่ในตำแหน่งเดียวกับรถเครื่องวางหน้าปกติ คอนโซลกลางจึงออกแบบได้เหมือนกับรถยนต์ทั่วไป ซึ่งออกแบบได้ดูดี
   ในลักษณะแข็งแรงบึกบึนเหมาะเจาะลงตัวกับรูปแบบตัวรถอย่างไร้ที่ติ หลายส่วนประดับด้วยโลหะวาววับสะดุดตา อุปกรณ์อำนวยความสะดวกมีมาให้เพียบพร้อม ไม่แตกต่างจากรถ SUV หรูๆ ทั่วไป อาทิ กระจกไฟฟ้า ระบบปรับอากาศควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ สำหรับเครื่องเสียงประกอบด้วยเครื่องเล่น CD พร้อมลำโพง 6 ตัว รอบห้องโดยสาร โดยมี Bose(r) มาเป็นผู้ออกแบบระบบเสียงให้ บานประตูทั้ง 4 ซีลหนาแน่นถึง 3 ชั้น นอกจากป้องกันน้ำเล็ดลอดเข้าสู่ห้องโดยสารในยามลุยแล้ว ยังทำให้การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารทำได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย

   ขุมพลังที่ต้องพา H2 ที่มีน้ำหนักร่วมๆ 3 ตัน ตระเวนไปในทุกพื้นที่ ต้องมีสมรรถนะที่โดดเด่นพอตัว GM เลือกเครื่องยนต์ตระกูล "Vortec" จับยัดลงใต้ฝากระโปรงหน้า เป็นบิ๊กบล็อกเบนซิน "V8" ขนาดความจุ 6.0 ลิตร ผลิตม้าอเมริกันล่ำๆ ออกมาได้ 316 ตัว ถ้าจับไปเทียบกับ H1 ขานั้นใช้เครื่องดีเซล มีพละกำลังเพียง 195 แรงม้า ที่ดุเดือดตามลักษณะของเครื่องดีเซล คือ แรงบิดมหาศาล 58.63 กก.-ม. ส่วนเครื่อง "Vortec" แรงบิดหดหายไปเหลือเพียง 49.0 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบต่อนาที แต่ก็มากพอที่จะพา H2 ทะยานจากจุดหยุดนิ่งถึง 100 กม./ชม. เพียง 10.1 วินาที

เครื่องยนต์ "Vortec" พร้อมชุดเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด


   ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ถ่ายทอดกำลังผ่านชุด Transfer ไปปั่นล้อทั้ง 4 ทั้งรูปแบบ "High" และ "Low" ระบบกันสะเทือนด้านหน้าเปลี่ยนมาใช้ทอร์ชั่นบาร์ ขนาด 46 มม. กับเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นคานแข็งพร้อมแขนยึดหลายจุด ที่ทางผู้ผลิตเรียกชื่อว่า "ไฟว์ลิงค์" ใช้คอยล์สปริงในรุ่นมาตรฐาน และมีแอร์สปริงหรือถุงลมมาให้เลือกเป็นออปชั่นเสริม นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ช่วยในการขับขี่อีกมากมาย ทั้ง "TCS" ช่วยลดอาการลื่นไถล โดยใช้เบรกควบคุมอย่างอิสระในแต่ละล้อ , ระบบ
TC2" ทำให้การลุยฝ่าทั้งทรายและโคลนง่ายขึ้น รวมถึงระบบเบรก ABS ที่เป็นแบบ 4 Sensor 4 Channel
โครงสร้าง GM ยัดเยียดเทคโนโลยีสมัยใหม่ ใส่ให้อย่างเต็มที่ ด้วยเฟรมแบบ 3 ส่วน ส่วนแรกหน้าสุด หรือ Front Section เป็น Crush Zone ออกแบบให้ดูดซับแรงกระแทกเมื่อเกิดการชนขึ้นจากทางด้านหน้า ถัดมา Mid Frame เน้นความแข็งแกร่งแต่ทว่ายืดหยุ่น ลดการสั่นสะเทือน ช่วยในการขับขี่ทั้งบนไฮเวย์ และทางออฟโรด ส่วนสุดท้าย คือ Rear Frame เสริมความแข็งแรงเป็นพิเศษ รองรับการลากรถ เทรลเลอร์พิกัดน้ำหนักสูงถึง 3,909 กก. หรือเกือบๆ 4 ตันเลยล่ะ ทั้งหมดทำให้ H2 ลดน้ำหนักลงมาเหลือ 2,909 กก.
เปิดประตูก้าวเข้าสู่ห้องโดยสาร พบความเปลี่ยนแปลงชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ ขณะที่ H1 เสริมแต่งจากรถในภารกิจทางการทหาร ภายในเล่นเอาหลายคนรับไม่ได้ แค่ตอนหน้าก็แย่แล้ว เพราะเบาะนั่งฝั่งซ้ายและขวาถูกเบียดบังด้วยอุโมงค์เกียร์ขนาดมหึมา สืบเนื่องจากตำแหน่งการวางเครื่องยนต์ใน H1 จะอยู่สูง และล้ำเข้ามากินพื้นที่ของห้องโดยสารมากพอควร ใน H2