วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554

รถฮัมวี่

รถฮัมวี่


HUMMWV

 High Mobility Multipurpose Wheeled Vehicle
                  ทศวรรษ 1970 ช่วงหลังสงครามเวียดนาม กองทัพบกสหรัฐฯ พบถึงความจำเป็นในการหายานรบ ที่มีสมรรถนะสูงขึ้น เพื่อทดแทนรถจี๊บ M151  ซึ่งมีประจำการอยู่ในกองทัพจำนวนมาก  รถยนต์ต้นแบบชนิดแรก M561 Gama Goat ได้ถูกทดลองใช้ในหน่วยต่างๆ ระหว่างสงครามเวียดนาม ไม่สามารถตอบสนองความต้องการทางทหารได้ ปัญหาสำคัญคือข้อจำกัดในด้านน้ำหนักบรรทุก และด้านความปลอดภัย แม้ในเวลานั้น รถจี๊บได้รับการปรับปรุงไปใช้งานทางพลเรือนอย่างกว้างขวาง มีความปลอดภัยและสะดวกสบายเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่ดีพอสำหรับการยุทธสมัยใหม่ ทบ.สหรัฐฯจึงเสนอความต้องการยานรบขนาดเบา ที่สามารถใช้งานทางยุทธวิธีได้โดยเฉพาะ ดังนั้น เป้าหมายของกองทัพจึงมุ่งไปสู่ The High Mobility Multi-purpose Wheeled Vehicleยานล้อเอนกประสงค์ ที่มีความคล่องตัวสูง
                  ชื่อย่อ HMMWV จึงเป็นที่มาของชื่อเรียก ฮัมวี ในปี 1979 จากความต้องการทางยุทธวิธี เปลี่ยนมาเป็นภาพร่างบนแผ่นกระดาษ ทบ.สหรัฐฯ กำลังจะสร้างตำนานยานรบ ด้วยการกำเนิดรถยนต์ทางยุทธวิธีใหม่ ครอบคลุม น้ำหนักขนาด ¼ ถึง 1¼ ตัน รถยนต์ต้นแบบ HMMWV หลายต่อหลายคัน ได้รับการดัดแปลงและทดลองใช้ ในหน่วยทหารต่างๆ เพื่อให้ครอบคลุมในทุกๆ ด้านของความต้องการทางยุทธวิธี โดยหวังจะให้มันประจำการ อยู่ได้นานถึง 10-20 ปี รถยนต์ต้นแบบ HMMWV จึงต้องอยู่ภายใต้การทดลองพัฒนาถึง 6 ปี ก่อนได้เข้าสู่สายการผลิต
     ในทางทหารต้องการยานรบหลายรูปแบบตามลักษณะยุทธวิธีอันหลากหลาย แต่ต้องมีจุดร่วมกันคือ ความอ่อนตัวสูง และรองรับเทคโนโลยีที่สูงขึ้น สามารถใช้งานในถิ่นทุรกันดารได้ดี และมีความอยู่รอดในการปฏิบัติภารกิจการรบโดยตรง และการสนับสนุนการรบ ความต้องการเลยไปถึงให้รถยนต์ใช้โครงสร้างหลักเป็นแบบเดียวกันทั้งหมด และใช้น้ำมันดีเซลในการขับเคลื่อน ข้อกำหนดที่จำเป็นอีกประการหนึ่งของยานรบรุ่นใหม่คือ มันต้องเป็นเกียร์อัตโนมัติ สามารถเคลื่อนย้ายทางอากาศได้ โดยเครื่องบิน C-130

รถต้นแบบ
      บริษัท AM General (American Motors) หนึ่งในสามบริษัท ซึ่งได้รับความไว้วางใจจาก ทบ.สหรัฐฯได้ออกแบบและสร้างรถต้นแบบจำนวน 11 คัน 6 คันใช้ในการทดลองติดตั้งอาวุธชนิดต่างๆ อีก 5 คัน เพื่อใช้งานแบบเอนกประสงค์ อีกสองบริษัทที่ร่วมดำเนินการได้แก่    were Chrysler Defense และ Teledyne Continental.
     รถต้นแบบทั้งหมดได้รับการทดสอบเป็นระยะทางมากกว่า 600,000 ไมล์ ในสภาพภูมิประเทศ และสภาพอากาศต่างๆ อันสุดขั้วต่างๆ ทั่วโลก ที่สำคัญได้ถูกทดลองในสนามรบจำลองด้วย รถต้นแบบถูกขับบนภูเขาชัน ในทะเลทราย เขตน้ำแข็งแบบขั้วโลก   และในโคลนตมลึก รวมทั้งในน้ำลึกถึง  60 นิ้ว เกณฑ์ความต้องการยานรบรุ่นใหม่นี้สูงมาก บริษัทที่ผ่านการคัดเลือก จะต้องมีสัญญาต่อกองทัพในการสร้างรถยนต์ทางทหารชั้นเยี่ยม ตลอดอีก 5 ปีอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
      เดือนมีนาคม 1983  (พ.ศ.2526) บริษัท AM General ได้รับสัญญาให้ผลิตในช่วงต้น 2334 คัน ในช่วงห้าปีแรกยอดการผลิตเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 55000 คัน ได้รับการผลิตออกมาในรูปแบบต่างๆ 15 แบบ จำนวน 39000 คันถูกส่งให้ ทบ.สหรัฐฯ ส่วนที่เหลือกระจายไปในส่วนของกองทัพเรือ กองทัพอากาศ และหน่วยนาวิกโย
     โรงงานสร้างแห่งแรกของ AM General's  ตั้งอยู่ที่เมือง Mishawaka รัฐอินเดียน่า บริษัทได้ส่งมอบคันแรกให้แก่กองทัพในปี 1985 มียอดผลิตถึงปี 1991 เป็นจำนวนถึง 72000 คันและยังได้ส่งมอบให้แก่กองทัพอื่นๆทั่วโลกด้วย
      สัญญาการผลิตได้ถูกขยายขึ้นต่อจากนั้นหลายปี ในเดือนมีนาคม 1995 ฮัมวีจำนวน 100,000 คันได้ถูกผลิตขึ้นแล้ว พร้อมยอดสั่งจองจากประเทศต่างๆกว่า 40 ประเทศอีก 20000 คัน จากวันที่เริ่มการผลิต จนถึงปี 2009  มีรถฮัมวีผลิตขึ้นมาแล้ว 190,000 คัน
    หลังปี2000 บริษัท AM General ยังคงได้รับสัญญาการผลิตต่อไปอีกจำนวน 2,962 คัน ในรุ่น M998A นับถึงปี 2009 สัญญาการผลิตยังคงมียอดสั่งผลิตอยู่อีก 85000 คัน
การออกแบบ
   รถฮัมวี่มีความสูงหกฟุต มีความกว้างเจ็ดฟุต และมีความยาวสิบห้าฟุต รูปลักษณ์จึงออกมาแบบกล่องไม้ขีด ส่งผลให้มีเสถียรภาพสูง เกาะถนนได้ดี และยากที่จะหงายท้อง ซึ่งแทบจะตรงกันข้ามกับรถจี๊บแบบ M151 ที่เคยใช้ประจำการมาก่อน โครงสร้างหลักของรถฮัมวี่ เป็นแบบรางรถไฟคู่ มีจุดเชื่อมต่อกันห้าจุด ผลิตขึ้นจากเหล็กกล้าขั้นสูง และถูกเคลือบสีด้วยระบบไฟฟ้า เพื่อป้องกันการสึกกร่อนในส่วนของตัวถังผลิตขึ้นจากโลหะอลูมิเนียม เพื่อลดน้ำหนักและปลอดสนิม ตัวถังบางจุดถูกยึดติดกันโดยหมุดยึด บางส่วนถูกเชื่อมให้ติดกัน ด้วยกาวพิเศษ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อเพิ่มความแกร่งให้แก่ตัวถัง ตัวถังถูกออกแบบมาให้มีความอ่อนตัวต่อการใช้งาน ในทางขรุขระ

    AM General ออกแบบเรือนเกียร์ในชุดขับ ให้รองรับแรงบิดได้สองเท่า ในแต่ละล้อ การออกแบบชุดขับเคลื่อนแบบนี้ ทำให้ใต้ท้องรถมีความสูงถึง 16 นิ้ว สูงมากที่สุดในรถระดับเดียวกัน ใช้ช่วงล่างเป็นแบบ A-arm คู่ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รองรับด้วยคอล์ยสปริง และโชคอัพน้ำมันแบบ double-acting
    การออกแบบแยกเป็นส่วนๆ (modular design )ทำให้ฮัมวี่ง่ายต่อการดัดแปลงไปใช้งาน ในภารกิจต่างๆ ในรุ่นทั่วไป มีความปลอดภัยในการขับขี่สูงกว่ารถจี๊บหลายเท่า ฮัมวี่ เป็นยุทโธปกรณ์ ชนิดหนึ่งซึ่งทางกลาโหมสหรัฐฯ ออกแบบไว้เพื่อสนับสนุนสงครามในเมือง (urban warfare) มันมิใช่รถหุ้มเกราะทั้งคัน มิได้ออกแบบไว้เพื่อเผชิญหน้ากับข้าศึกในการปะทะแบบเผชิญหน้า แต่มีความทนทานต่อการโจมตีจากปืนค. หรือปืนกลมือระยะไกลได้ สงครามอิรัคครั้งที่สอง ในปี 2003 เป็นสงครามกลางเมือง ที่ไม่มีกรอบยุทธบริเวณชัดเจน รถฮัมวี่และทหารจำนวนมากต้องสูญเสีย ทบ.สหรัฐฯแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการ ติดเกราะเสริมเข้าไป แต่นั่นทำให้ ระบบทางเทคนิคเปลี่ยนไป รถยนต์มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น สึกหรอเร็วขึ้น คว่ำง่ายขึ้น เกิดอุบัติเหตุบ่อยขึ้น เป็นปัญหา ให้หน่วยเหนือตามแก้ไขอีกการประสบความสูญเสียของทหารอเมริกันในอิรัค เป็นผลมาจาก กลุ่มต่อต้านใช้อุปกรณ์พิเศษ Vehicle Borne Improvised Explosive Devices (VBIEDs)  เพื่อการโจมตีมันโดยเฉพาะ  ในระยะประชิด ทำให้เกิดความสูญเสีย หลายต่อหลายครั้ง ความรุนแรงของสงครามกลางเมืองในอิรัค ยังคงทวีความรุนแรงขึ้น ทหารเสียชีวิตจากการลอบวางระเบิดรถยนต์มีมากขึ้น ทบ.สหรัฐฯ ได้พยายามมองหายานยนต์ชนิดใหม่ ซึ่งได้รับการออกแบบเพื่อเผชิญกับการลอบวางระเบิดรถ โดยเฉพาะ ได้แก่ Stryker, Bradley, Abrams tank และ  MRAP (Mine Resistant Ambush Protected) แต่นั่น ทั้งราคา และค่าใช้จ่ายอื่นๆ สูงกว่าฮัมวี่มากมายนัก ลำพังรถ Stryker ล้อยาง 8 ล้อ แม้จะเคลื่อนย้ายด้วยเครื่องบิน C-130 ได้ก็จริง แต่ก็เป็นไปอย่างทุลักทุเล
ลักษณะภายนอก
    ไม่มีใครเลยที่มองเห็นรถฮัมวี่ แล้วอุทานถึงความน่ารัก ทหารอเมริกันส่วนใหญ่เมื่อแรกเห็นมันในตอนกลางทศวรรษ 1980 ต่างกล่าวว่ามันคือ
    รถจี๊บที่มีมัดกล้าม "Jeep on steroids." เพราะมันถูกออกแบบให้เป็นยานยนต์ที่ทนทานที่สุดในโลก รูปร่างอันบึกบึนของมันเป็นผลมาจากความต้องการทางยุทธวิธี
ถึงกระนั้นมันยังถูกจัดให้เป็นยานรบขนาดเบา ที่มีความคล่องตัวสูง ขับเคลื่อนสี่ล้อ บนโครงสร้างหลักชิ้นเดียวกัน สามารถนำไปติดตั้งอาวุธแรงสูงได้ หลายชนิด machine guns to tube-launched, optically tracked, wire command-guided (TOW) anti-tank   ทั้งยังต้องลุยได้ทุกสภาพภูมิประเทศ เช่นในป่า ในทะเลทราย อย่างเป็นเวลานาน โดยต้องการการซ่อมบำรุงเพียงเล็กน้อย ที่สำคัญที่สุดในการออกแบบ คือมันต้องลำเลียงทหารและยุทโธปกรณ์ ฝ่าดงกระสุน และสนามทุ่นระเบิด ไปได้อย่างปลอดภัย ทั้งๆที่มันมิใช่ยานเกราะบนโครงสร้างหลัก เครื่องยนต์ และระบบเกียร์ชิ้นเดียวกัน มันได้รับการดัดแปลงและพัฒนา ออกไปในหลายรูปแบบ ลำเลียงทหารและยุทโธปกรณ์ การส่งกลับสายการแพทย์ ชิ้นส่วนอะไหล่จำนวนถึง 44 รายการสามารถนำมาใช้งานร่วมกันได้  นั่นหมายถึง การซ่อมบำรุง การจัดหาอะไหล่ และการฝึกช่างเทคนิค ที่ลดลงรถฮัมวี่ ต้องบำรุงรักษาง่าย มีความเชื่อถือ และความอยู่รอดสูง เมื่อเผชิญกับภารกิจในสนามรบ ภายใต้หลักการ (RAM-D)
    Reliability, Availability,   Maintainability and Durability
    ซึ่งใช้ในการประเมินค่า ยานยนต์รบ และในครั้งแรก รถฮัมวี่ได้ผ่านการทดสอบ โดยมีความทนทานสูงเป็นสองเท่า ของมาตรฐานที่ ทบ.สหรัฐฯ กำหนดไว้ ระยะความสูงจากพื้นรถ ที่สูงถึง 16 นิ้วหรือ 40 เซนติเมตร ทำให้มันมีความสุดยอด ในการขับผ่านสิ่งกีดขวาง ซึ่งเป็นผลมาจาก
การออกแบบทางวิศวกรรม
    รถฮัมวี่ เป็นรถที่ขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลา ช่วงล่างอิสระ สามารถไต่เขา หรือลงเนิน ที่มีความชันมากได้  60% ขับขนานไปกับความลาดเอียงทางด้านข้าง องศาได้อย่างปลอดภัย ทั้งยังลุยน้ำลึก 60-นิ้วได้อย่างสบาย
     รุ่นที่เห็นคุ้นตากันบ่อยๆ คือแบบสี่ประตู ท้ายตัด ( M1025) มีส่วนด้านหน้า ที่เป็นเอกลักษณ์เหมือนกัน  ไฟหน้าดวงกลมหนึ่งคู่ อยู่ระหว่างช่องรับอากาศ ซึ่งจัดแบ่งเป็นช่องลมแนวตั้ง 7 ช่อง อันถือเป็นลิขสิทธิ์ ห้ามใครลอกเลียนแบบ รถฮัมวี่ไม่มีกันชนด้านหน้า มองจากด้านเห็นจะเห็นลายดอกยางล้อเปิดกว้าง เพื่อให้รถสามารถไต่มุมชันได้ ฝากระโปรงหน้าผลิตขึ้นจากวัสดุผสมคอมโพสิต fiberglass และ plastic ถูกทำเป็นช่องรับลมแนวขวาง เพื่อระบายอากาศ กระจกหน้าแบ่งเป็นสองส่วน ซ้าย-ขวา ใบปัดน้ำฝนติดตั้งไว้ด้านบนของกระจก  แต่ในรุ่นพลเรือน HUMMMER H2 และ H3 เป็นกระจกบานเดียว ประตู หลังคาผลิตจากเหล็กกล้า
พื้นรถ กันชนหลัง และส่วนท้ายผลิตขึ้นด้วยอลูมิเนียมชนิด 6061T6 มาตรฐานเดียวกับที่นำไปสร้างเครื่องบิน ลักษณะภายนอกของฮัมวี่มีรูปร่างแตกต่างกันออกไป
แบบพื้นฐานคือแบบ รถกะบะสองประตู (M998) รถกะบะสี่ประตู (M1038)
แบบที่คุ้นตาคือแบบสี่ประตู ท้ายตัด ( M1025)
แบบรถพยาบาลขนาดใหญ่ (M1035 , M1036 )
และที่ไม่ค่อยพบเห็นคือ แบบหุ้มเกราะหนา Cobra จนไม่เหลือเค้าร่างเดิมไว้เลย
 รหัสฮัมวี่ ในรูปแบบต่างๆ
• M998 - basic troop carrier
• M1038 - troop carrier w/ winch
• M966 - armored tow carrier
• M1036 - tow carrier w/winch
• M1045 - tow carrier with sup armor
• M1046 - tow , sup arm w/winch
• M1025 - armament carrier armored ( 50 cal , m-60, mk19 grenade launcher)
• M1026 - as above w/ winch
• M1043 - armament carrier with sup armor
• M1044 - as above w/winch
• M1037 - s250 shelter carrier
• M1042 - as above w/winch
• M996 - 2 litter ambulance
• M997 - 4 litter ambulance
• M1035 - 2 litter soft top

   

      ฮัมวี่ แม้จะถูกสร้างโดยกองทัพบก แต่ได้รับการออกแบบไว้ เพื่อการถูกขนส่งทางอากาศด้วย โดยสามารถส่งทางอากาศได้ ด้วยเครื่องบิน   C-130 ภายในลำตัว บรรทุกรถฮัมวี่ได้ 3 คัน 
     ด้วยเครื่องบิน C-5 ภายในลำตัว บรรทุกรถฮัมวี่ได้ 15 คัน 



   ในทางยุทธวิธี มันสามารถถูกส่งลงในแนวหน้าโดยตรง ด้วยการใช้ร่ม หรือใช้สายสลิงค์หิ้วไปโดยเฮลิคอปเตอร์
เครื่องยนต์
    เครื่องยนต์ขนาดใหญ่วางไว้ ทางด้านหน้า ในแนวยาวขนานกับลำตัว  แต่ตำแหน่งของเครื่องยนต์ถูกร่นมาทางด้านหลังพอสมควร เลยล้นเข้ามาใส่ส่วนห้องโดยสาร เครื่องยนต์มิได้วางอยู่เหนือล้อคู่หน้า ด้วยข้อดีหลายประการคือ
   ระยะห่างใต้ท้องรถสูงขึ้น  ขับลุยได้
   ระยะหน้ารถสั้นลง ขับง่าย
   กระจายน้ำหนักได้ดีขึ้น ทรงตัวดี



   เครื่องยนต์ดีเซลมิใช่ของโปรดของคนอเมริกัน คนอเมริกันคุ้นเคยกับน้ำมันเบนซินอ็อคเทน ซึ่งเขาเรียกว่า แก็ซ (Gasoline) อย่างยากที่จะถอนตัว แต่ทบ.สหรัฐฯ เลือกใช้เครื่องยนต์ดีเซล แทนเครื่องยนต์เบนซิน ด้วยเหตุผลสำคัญสองประการคือ
 ในเรื่องความปลอดภัย และการส่งกำลังบำรุง
    น้ำมันเบนซินมีความไวไฟกว่าน้ำมันดีเซลมาก ขณะถูกโจมตี น้ำมันเบนซินในรถจะกลายเป็นไฟเผาตัวเองได้ง่ายกว่า น้ำมันดีเซลติดไฟได้ยากกว่า ทั้งยังเป็นน้ำมันซึ่ง แพร่หลายกว่า ถูกใช้ในยานรบต่างๆ มากกว่า
ฮัมวี่ในรุ่นแรกออกมาในปี 1992 ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 8 สูบ ของ Detroit Diesel (GM) ขนาด  6.2L ลิตร ให้แรงม้า 150  แรงบิด 290 ฟุตปอนด์ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในกองทัพ
   ปี 1994 ขยายเครื่องยนต์ดีเซล 8 สูบ  ขนาด  6.5L ลิตร ให้แรงม้า  170 hp, แรงบิด 290 ฟุตปอนด์
   ปี1995 ในตัวถัง Hummer ได้ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน เพื่อขายให้แก่พลเรือน ในท้องตลาด ขนาด  5.7L  TBI ให้แรงม้า  190 hp, แรงบิด 300 ฟุตปอนด์.
   ปี 1996  ได้ติดตั้งชุดอัดอากาสแบบเทอร์โบ ให้กับ เครื่องยนต์ 6.5L V8 turbo diesel ให้แรงม้า 190  แรงบิด 385 ฟุตปอนด์ และในปี 1997 เครื่องยนต์รุ่นนี้ได้รับการปรับแต่งมีแรงม้าเพิ่มขึ้นเป็น 195 hp แรงบิด 430 ฟุตปอนด์
   เครื่องยนต์ระบายความร้อนด้วยของเหลว มีชุดระบายความร้อนเครื่องยนต์ 4 ชุด ติดตั้งไว้แผงด้านหน้า และใต้ฝากระโปรงหน้า
ระบบขับเคลื่อนและเกียร์
    รถฮัมวี่ในรุ่นแรก ใช้เกียร์อัตโนมัติ 3 จังหวะ GM TH400 ("3L80") รุ่นต่อมา ใช้เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ (4L80E)ซึ่งรถจี๊บรุ่นก่อนหน้านี้ ใช้ระบบเกียร์แบบมีคลัช ด้วยทาง ทบ.สหรัฐฯ ต้องการให้ทหารทุกนายขับมันได้ง่าย แบบออกตัวไม่ดับ
    ระบบเกียร์ใช้อัตราทดเดินหน้า ระหว่าง 1:1  (high) ถึง 2.72:1 (low )  0.75  ในโหมดโอเวอร์ไดรฟ์ และ เฟืองถอยหลัง 2.08  เป็นรถที่ขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลา มีอุปกรณ์ตรวจจับการลื่นไถลของล้อ เพื่อส่งสัญญาณไปให้ชุดขับเคลื่อน (transfer case  differential และ gear hubs)ส่งกำลังไปล้อต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม



    ระบบขับเคลื่อนของฮัมวี่ รับกำลังมาจากเครื่องยนต์ โดยผ่านชุดทดรอบ (transfer case)  แล้วแบ่งกำลังออกเป็นสองส่วน เพื่อนำไปขับล้อคู่หน้า และอีกเพลาหนึ่งนำไปขับล้อคู่หลัง เพลาขับ จะส่งกำลังไปให้เฟืองท้าย( differential )ก่อน จากนั้นจึงแยกแรงขับออกเป็นล้อซ้ายและล้อขขวา อุปกรณ์พิเศษ ที่ติดตั้งกับรถฮัมวี่ ซึ่งรถยนต์อื่นไม่มีคือ เกียร์ฮับ (gear hub) ติดตั้งไว้ล้อละหนึ่งชุด เพื่อทดรอบอีกต่อหนึ่งก่อนส่งไปยังล้อ ซึ่งจะเห็นได้ว่า แกนเพลาขับของฮัมวี่ จะมิได้ต่อเชื่อม ตรงกลางดุมล้อ แต่ติดตั้งไว้ส่วนบนของดุมล้อ ทำให้ท้องรถมีความสูงเพิ่มขึ้น และในเมื่อจุดศูนย์กลางดุมล้อ ไม่มีชิ้นส่วนใดปิดกั้น จึงสามารถทำเป็นท่อลม ให้กับระบบ ระบบเติมลมล้ออัตโนมัติ ได้อีกต่อหนึ่ง
   เพลาขับ (Halfshafts) ทำหน้าที่สองประการตรงข้ามกัน คือส่งแรงขับและแรงฉุด ไปยังเกียร์ฮับ เพลาขับคู่หลังมีขนาดความยาวเท่ากัน ส่วนคู่หน้าทางด้านซ้ายสั้นกว่าทางด้านขวา
เฟืองท้าย
   ด้วยเป็นช่วงล่างแบบอิสระ เฟืองท้ายจึงถูกติดตั้งไว้กับชัชซี มีอัตราทด 2.73:1 เฟืองท้ายเป็นแบบ Torque-biasing สามารถทำงานได้อย่างอิสระ ทั้งในแบบล้อซ้ายขวาหมุนด้วยความเร็วเท่ากันหรือต่างกัน อย่างอัตโนมัติ ซึ่งนั่นทำให้ฮัมวี่ยังคงลุยต่อไปได้ ตราบเท่าที่ยังมีล้อใดล้อหนึ่ง ติดพื้นอยู่
ล้อยาง  และเบรก
    เป็นรถที่มีระบบขับเคลื่อนแบบอิสระสี่ล้อ แบบดับเบิ้ลวิชโบน double-wishbone  ใช้คอยล์สปริงส์และโชคอัพ 4 ชุดรองรับ มีระบบเบรกแบบจานทั้งสีล้อ แผ่นจานเบรกไม่ได้ติดตั้งอยู่กับล้อ เช่นรถทั่วไป แต่ติดตั้งไว้กับแกนเพลาด้านใน ชิดกับเฟืองท้าย
ยางรถ มีหลายแบบ ดอกยางที่ดูคมเข้มเป็นแบบ ขนาดความสูง 36 นิ้ว หน้ากว้าง 12.5 นิ้ว กะทะล้อมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 16.5 นิ้ว ขอบกระทะล้อ ออกแบบเป็นพิเศษ เพื่อให้ยางล้อยังคงวิ่งต่อไปได้( Runflat system) ด้วยความเร็ว 30 ก.ม.ต่อ ช.ม.ด้วยระยะ 45 ก.ม. แม้ว่าแรงดันลมยาง จะหมดไปแล้ว และรถฮัมวี่ในรุ่นใหม่ยังมีระบบเติมลมล้ออัตโนมัติ(CIS)  มีประโยชน์เพื่อรักษาความดันลมยาง ให้เหมาะสมตามต้องการ ตามสภาพน้ำหนักบรรทุกและผิวถนน  สามารถที่จะเติมลม หรือปล่อยลม ออกจากล้อได้อย่าง เหมาะสม โดยจะทำงานแบบอัตโนมัติ หรือปรับแต่งเองก็ได้


     ระบบประกอบด้วยปั๊มลม วาวล์สามทาง และท่อลม ผ่านไปกลางดุมล้อ โดยปกติแรงดันลมยางล้อหน้าคือ 26 ปอด์ต่อตารางนิ้ว (PSI) ล้อหลังคือ 28 PSI  และสามารถเพิ่มไปได้ถึง 45 ในภาวะที่ต้องการการยึดเกาะมากขึ้น ความดันลมยางสามารถลดลงมาได้ถึง 20 PSI  เมื่อต้องผจญกับพื้นทราย หรือหล่มโคลน และยังคงลดลงต่อไปได้อีกถึง 10 PSI และจะมีเสียงเตือนดังขึ้นเมื่อความดันลมยางลดต่ำลงกว่า 8 PSI
    รถฮัมวี่ไม่มีระบบ ABS ระบบเบรกเป็นแบบเบรกจาน ขนาด 10.5 นิ้ว ทั้ง 4 ล้อ ในรุ่นหลังปี 1997 ขยายเป็น 12 นิ้ว ออกแบบให้สอดคล้องกับระบบขับเคลื่อน โดยที่จานเบรกมิได้ติดตั้งอยู่กับดุมล้อ แต่เปลี่ยนตำแหน่ง ยกให้สูงขึ้น โดยนำมาติดตั้งไว้กับเพลาขับ ในส่วนด้านใน ชิดกับเฟืองท้าย ป้องกันการสกปรกจากฝุ่นโคลนได้ดี  แรงดันน้ำมันเบรก ได้จากปั๊มไฮดรอลิคสองวงจร



คณลักษณะพิเศษ
ระบบกันน้ำ Fording
   โดยทั่วไปฮัมวี่ลุยน้ำได้  76 เซนติเมตร โดยที่มิได้ติดตั้ง snorkel เพราะในส่วนของช่วงล่าง และระบบไฟฟ้า ได้รับการป้องกันเป็นพิเศษ จากการที่น้ำจะเข้ามารบกวนการทำงาน และเมื่อได้รับการติดตั้ง snorkel ให้สูงขึ้นไปบนหลังคา เพื่อให้ท่ออากาศเข้าเครื่องยนต์ และท่อไอเสีย พ้นจากน้ำ ทำให้ฮัมวี่สามารถลุยน้ำลึกได้ถึง 1.5 เมตร
รอกฉุด Winch
    ติดตั้งไว้กับรถฮัมวี่บางรุ่น มีแรงฉุด ระหว่าง 6000-9,000 ปอนด์ บางรุ่นขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า แบบกันน้ำได้ถึง 6 ฟุต บางรุ่นใช้แบบไฮดรอลิค โดยนำแรงขับมาจากปั๊มพวงมาลัยเพาเวอร์ มีสายลากความยาว 100 ฟุต
แผ่นเกราะใต้ท้อง
   ใต้ท้องรถฮัมวี่ ได้รับการป้องกันเป็นอย่างดี ด้วยแผ่นเหล็กกล้า ความหนา 3/8 เพื่อปกป้องทหารจากแรงระเบิด และป้องกันความเสียหายจากแรงกระแทก
   เมื่อนำคุณลักษณะต่างๆ มารวมกันแล้วมันจึงเป็นยานรบอเมริกันดีเอ็นเอ ที่วางใจได้
การนำไปติดตั้งอาวุธ
    M1025 และ M1043/M1044 เป็นฮัมวี่ที่ทบ.ไทยนำเข้าประจำการด้วยเช่นกัน ภารกิจหลักของมันคือ การลำเลียงทหาร แต่พิเศษกว่าตรงที่ ได้รับการติดตั้งอาวุธ armament carriers เพิ่มเติม ได้แก่ the MK19 grenade launcher, the M2 heavy machine gun, the M240G/B machine gun and M249 SAW. ตามแต่กองทัพใดจะมีอาวะใดอยู่ในประจำการ
   ในรุ่น  M1114 ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ล่าสุด ได้รับการเสริมเกราะ  และสามารถยิงอาวุธได้จากภายในตัวรถ โดยที่พลปืนไม่ต้องโผล่ออกมานอกตัวรถ Common Remotely Operated Weapon System (CROWS)


ความนิยมในรถอ็อฟโรด
    ในสงครามอ่าวปี 1991 รถฮัมวี่ได้วิ่งเคียงคู่ยานรบอื่นๆ บุกทะลวง ข้ามทะเลทรายไปยึดกรุงแบกแดด ภาพสงครามครั้งนั้นถูกส่งผ่านทีวีแบบสดๆ เป็นครั้งแรกที่คนทั้งโลกได้เห็นรถคันนี้ หลังจากนั้น เมื่อสงครามยุติลง  ฮัมวี่จึงได้สร้างกระแสรถ Off Road ให้เกิดขึ้น
     บริษัท GM ได้นำดีเอ็นเอของ M988 มาดัดแปลงให้ใช้งานในท้องถนนทั่วไปได้  โดยเปลี่ยนชื่อจากHUMMWV มาเป็นHUMMER1 ฮัมเมอร์ H1 มีรูปทรงแบบรถกะบะสี่ประตู เพื่อขายให้กับบุคคลทั่วไป ที่มีหัวใจนักรบ ได้เป็นเจ้าของ ซึ่งแน่นอนว่า ราคาค่าตัวของมันสูงลิบลิ่ว เกินกว่าสามัญจะเป็นเจ้าของได้ การครอบครองฮัมเมอร์สักคันไว้ในโรงรถของตนเป็นเทร็นด์ ที่ดาราฮอลลีวู๊ด และคนเมืองแคลิฟอร์เนียหลงใหล แต่ยากที่จะเอื้อมถึง ซึ่งเป็นผลพลอยให้กับรถยนต์ยี่ห้ออื่นทั้งในสหรัฐฯและประเทศอื่นๆ ต้องผลิตรถยนต์ Off Road ออกมาเป็นทางเลือกให้แก่ลูกค้าที่หลงใหล เมื่อมีคู่แข่งหลายรายเข้ามาท้าชน และเพื่อให้คนทั่วไปมีโอกาสสัมผัสฮัมเมอร์บ้าง บริษัทจีเอ็มจึงลดขนาดของฮัมเมอร์ลงมาเป็นรุ่น H2  H3 มีรูปทรงแบบรถแวนห้าประตู    ในราคาที่เบากว่ามาก



ข้อแตกต่างระหว่าง HUMMWV และ HUMMER H1

ข้อมูล  HUMMWV     HUMMER H1
ระบบเครื่องยนต์         ดีเซล  ดีเซล /เบนซิน
จำนวนถังน้ำมันเชื้อเพลิง        1 ถัง     2 ถัง
การติดเครื่องยนต์        ไม่ใช้กุญแจ     ใช้กุญแจ
ระบบไฟฟ้า/กั้นนำ      24V/100%       12V/บางส่วน
ระบบไฟส่องสว่าง
Black Light/พรางไฟ   มี/ได้    ไม่มี/บางส่วน
ระบบปรับอากาศ        ไม่มี     มี
ระบบเบรค ABS         ไม่มี     มี
กระจกบังลมหน้า        พับได้  พับไม่ได้
ขนาดยางล้อ นิ้ว          36        37
ระบบกรองไอเสีย        Non-catalytic   catalytic
ความเร็วสูงสุด ไมล์/ช.ม.        55        75
ยังมีข้อแตกต่างปลีกย่อย อีกหลายระบบ

การสร้างรถยนต์เลียนแบบในไทย
   ในส่วนของกองทัพไทย มีนโยบายที่จะสร้างรถยนต์เพื่อใช้งานทางยุทธวิธีขึ้นเอง โดย  ทบ.ไทยดำเนินการตามลำพัง เหล่าทัพอื่นมิได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทบ.ไทยได้กำหนดความต้องการในการใช้งานขึ้นก่อน                  และอาศัยบริษัทนายหน้าคนกลาง เสนอตัวเข้าร่วมประกวด จากนั้นบริษัทที่ได้รับเลือกจึงไปจ้างบริษัทดัดแปลงรถยนต์ โดยนำรถยนต์ยี่ห้อต่างๆ ได้แก่ โตโยต้า มิตซูบิชิ ฟอร์ด มาดัดแปลงอีกต่อหนึ่ง โดยที่บริษัทแม่ ซึ่งเป็นเจ้าของแบรด์มิได้มีส่วนร่วมในการพัฒนา จำนวนรถที่ผลิตขึ้นมาจึงมีไม่มาก และขาดความต่อเนื่องในการศึกษาวิจัย


   ด้วยลักษณะการดำเนินการดังกล่าวจึงพอเห็นว่าทบ.ไทยมิได้อาศัยจุดเด่นในการที่ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตรถปิคอัพรายใหญ่แห่งที่สองของโลก ในการพัฒนายานรบ โครงการที่เกิดขึ้น จึงเป็นเพียงไฟไหม้ฟาง เกิดขึ้นชั่วคราวแล้วดับวูบลง  แต่ยังนับเป็นความพยายามของกองทัพบก ที่ต้องการประหยัดงบประมาณของชาติ ดีกว่าบางเหล่าทัพ ที่เก่งในการสร้างรถกอล์ฟ

การสร้างรถยนต์เลียนแบบในจีน
    กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน People’s Liberation Army ได้สร้างรถยนต์ทางยุทธขึ้น ตามแนวทางเดียวกับฮัมวี่ ภายใต้ชื่อว่า   “Mengshi (นักรบ)ผลิตขึ้นโดยบริษัท Chinese automaker Dongfeng Motor เพื่อใช้งานขึ้นเอง ในปี 2007 ข่าวนี้ได้สร้างความตื่นตะลึงให้แก่หลายๆฝ่าย  เพราะรูปทรงภายนอก มีความละม้ายคล้ายคลึงกับฮัมวี่ของสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก
 
   ทางการจีนอ้างว่า ของตนได้ผ่านการทดสอบมาถึง 6 ปี กว่า 200000 ชั่วโมง เป็นระยะทางกว่า 1.6 ล้านกิโลเมตร โดยมีจุดเด่นกว่า หลายประการ เช่น น้ำหนักการบรรทุกที่สูงกว่า และการใช้เชื้อเพลิงที่ต่ำกว่า


ความสูญเสียในสถานการณ์ความไม่สงบภาคใต้ 
   กองทัพไทยได้นำรถฮัมวี่เข้าประจำการในปี 2538 ส่วนมากประจำการในกองทัพบก เป็นรถยนต์บรรุทกขนาด 1 1/4 ตัน ในสังกัดของเหล่ทหารม้า ทหารราบ และกองพันเคลื่อนที่เร็ว RDF ในส่วนของกองทัพอากาศ นำมาใช้ในภารกิจการควบคุมการปฏิบัติการทางอากาศ แต่ยังมีจำนวนไม่มากพอที่จะทดแทนรถจี๊บM151 Mark 4 ที่เรามีประจำการอยู่เป็นจำนวนมาก ตั้งแต่สงครามเวียดนาม ในส่วนของกองทัพเรือ มีประจำการในหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน
    รถฮัมวี่ถูกส่งลงไปในสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ของไทย และประสบความสูญเสียหลายครั้ง สถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้เป็นบททดสอบความมั่นคงของรัฐบาลไทยและกองทัพไทย และยังรวมไปถึงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนไทย ได้เป็นอย่างดี


ปี ๒๕๔๘
   สถานการณ์ความรุนแรงภาคใต้ของไทย ปะทุขึ้นในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร  แม้รัฐบาลได้ใช้ความเด็ดขาดในการปราบปรามไปแล้ว  แต่สถานการณ์ ยังคุกกรุ่นอยู่ พรรคการเมืองเจ้าของพื้นที่ ออกมาให้ความเห็นว่า รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร  ไม่เข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้ง ฝ่ายก่อความไม่สงบได้ตอบโต้ ด้วยการทำร้ายประชาชน และโจมตีหน่วยทหารอย่างรุนแรง
 ๑ มิ.ย.๔๘ เวลา ๑๕๐๐ น. คนร้ายไม่ทราบจำนวนลอบฝังระเบิดแสวงเครื่องบนถนนในหมู่บ้าน บ้านดีแย ม.๔ ต.สาวอ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส และจุดระเบิดขึ้น แรงระเบิดทำให้รถยนต์ลาดตระเวนแบบฮัมวี่ของทหารชุดคุ้มครองครูพังเสียหายยับเยิน  พลิกคว่ำตกลงข้างทางนอกจากนี้ยังมีทหารได้รับบาดเจ็บ ๓ นาย และเสียชีวิตคาที่ ๑ นาย
      


       โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อรถยนต์ลาดตระเวนคันดังกล่าวแล่นมาถึงบริเวณบ้านดีแย ม.๔ ต.สาวอ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส คนร้ายได้จุดชนวนระเบิด เมื่อรถยนต์ฮัมวี่ของทหารชุดคุ้มครองครูสังกัดร้อย ร. ที่ ๓ พัน ร.๘ จาก จ.สงขลา ซึ่งเข้ามาตั้งฐานการปฏิบัติการที่วัดสวนธรรม อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส วิ่งมาถึงจุดที่คนร้ายฝังระเบิดไว้ แรงระเบิดดังขึ้นสนั่นหวั่นไหวทำให้รถยนต์ของทหารพลิกคว่ำตกลงข้างทาง
      
       เป็นเหตุให้พลทหารณรงค์กร อุดง อายุ ๒๒ ปี ถูกสะเก็ดระเบิดที่ศีรษะ เสียชีวิตคาที่ จ่าเอกชัชพล มณีโชติ อายุ ๒๓ ปี ถูกสะเก็ดระเบิดที่ขา ๒ ข้าง ได้รับบาดเจ็บสาหัส จ่าเอกบือลี จันกลม อายุ ๓๕ ปี ถูกสะเก็ดระบิดตามร่างกาย พลทหารอดุลศักดิ์ เพชรเจริญ อายุ ๒๑ ปี แขนขวาหัก อาการสาหัส โดยผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดได้ถูกลำเลียงขึ้นเฮลิคอปเตอร์ เพื่อส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล ใน จ.สงขลา     
ปี ๒๕๔๙
    ในขณะที่ทหารใหญ่ของเรา นำกำลังเข้าก่อการปฏิวัติ โค่นล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร   ทหารชั้นผู้น้อยของชาติ กลับถูกลอบโจมตีอีก
 ๒๘ ก.ย. เวลา ๐๗๐๐ น. มีเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดทหารได้รับบาดเจ็บหลายนายบนถนนสายดอเหะกาวะ บริเวณบ้านเปาะเจ๊ะเต็ง หมู่ ๑ ต.กาวะ สภ.อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส



    ในที่เกิดเหตุพบรถยนต์ฮัมวีของทหารพลิกคว่ำหงายท้องล้อชี้ฟ้า สภาพพังยับเยิน ใกล้กันพบหลุมระเบิดขนาดใหญ่ เศษชิ้นส่วนระเบิดแสวงเครื่อง และสายไฟลากจากจุดเกิดเหตุเข้าไปในป่าข้างทางยาวประมาณ ๑๐๐เมตรเมื่อเจ้าหน้าที่ตามเข้าไปตรวจสอบพบปืน ๐.๓๘ ของคนร้ายตกอยู่ ๑ กระบอก ระเบิดแสวงเครื่องพร้อมใช้งานอีก ๑ ลูกจึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน ส่วนทหารที่บาดเจ็บถูกนำส่ง รพ. สุไหงปาดี ก่อนหน้าแล้วรวม ๖ นาย ทั้งหมดสังกัดร้อย ร.๖๐๑๔ ฉก.๓๙ ตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ที่สถานีอนามัยบ้านเปาะ เจ๊ะเต็ง ประกอบด้วย ๑. ส.อ.พุทธา โพธิจักร์ ถูกระเบิดขาซ้ายขาด แพทย์ส่งตัวต่อไปที่ รพ.สุไหงโก-ลก เสียชีวิตเวลาต่อมา ๒. พลทหารบรรพต จักร์กุพันธ์ ถูกระเบิดแขนซ้ายหัก ๓. จ.ส.อ.อัมพร สมหมาน ถูกระเบิดมีบาดแผลบริเวณคิ้วขวาและแขนขวา ๔. ส.อ.เผ่าพงศ์ เวียงคำ ๕. พลทหารสมพงศ์ พลเพ็ง และ ๖. พลทหารอัมพร ทิพวรรณ โดย๓ คนหลังถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณร่างกายหลายแห่ง

ปี ๒๕๕๐
     แม้จะได้มีคณะปฏิวัติ และรัฐบาลที่มาจากทหารหน่วยรบพิเศษ ทหารของเรา ก็ยังได้รับความสูญเสียอีก ที่ร้ายกว่านั้น นายกรัฐมนตรีเลือดทหาร กลับลงไปกล่าวคำขอโทษ ต่อฝ่ายที่ทำร้ายทหารของเรา แต่ใช่สถานการณ์จะดีขึ้น กลับเลวร้ายไปกว่าเดิม หน่วยทหารพร้อมรถฮัมวี่ เสียหายอย่างรุนแรงถึงสองครั้ง เพื่อเป็นการตอบแทน คำขอโทษที่มาจากปากนายกรัฐมนตรี



๒๑ เม.ย.๕๐เวลา ๑๑๓๐ น. มีเหตุระเบิดบนถนนสายปัตตานี-ยะลา ม.๔ บ้านต้น-มะขาม  ต.เมาะมาวี อ.ยะรัง จ.ปัตตานี  พบรถฮัมวีติดปืนกลเอ็ม ๒๑๔ พลิกหงายท้องล้อชี้ฟ้าอยู่กลางถนน สภาพพังยับเยิน มีทหารเสียชีวิตคาที่ ๑ นาย เนื่องจากถูกตัวรถทับศีรษะ ทราบชื่อ จ.ส.อ.สุภาพ เชื้อจีน อายุ ๔๗ ปี สังกัด ร.๘๐๓๓ ฉก.๒๓ จ.เลย ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าชุดลาดตระเวน และเป็นพลขับรถคันดังกล่าว นอกจากนี้ ยังมีทหารได้รับบาดเจ็บอีก ๓ นาย ทราบชื่อ ส.อ.ธนโชติ แก้ววงศ์ษา อายุ ๓๕ ปี พลฯสนธยา จันทร์ศรี อายุ ๒๒ ปี นำส่ง รพ.ศูนย์ยะลา ส่วนพลฯคงเขต สุขเจริญ อายุ ๒๒ ปี นำส่ง รพ.ยะรัง ปรากฏว่าทั้ง ๓ นาย เสียชีวิตในเวลาต่อมา รวมเป็นผู้เสียชีวิตถึง ๔ นาย
ปี ๒๕๕๑
วันที่ 14 ม.ค. 51 เวลา 08.00 น. ขณะ ร.ต.อานนท์ บุญธรรม ผบ.มว.ร้อย ร.2923 ฉก.นราธิวาส 34 อ.จะแนะ จ.นราธิวาส หัวหน้าชุด รปภ.ครู นำกำลังพลรวม 12 นาย ใช้รถยนต์ฮัมวี่ และรถ จยย.อีก 2 คัน กลับจากทำหน้าที่คุ้มครองครูไปส่งโรงเรียน     ลาดตระเวนมาตามเส้นทางสายบ้านรือเปาะบ้านกาแย ถึงหมู่ 4 บ้านรือเปาะต.ดุซงญอ อ.จะแนะ กลุ่มคนร้ายประมาณ 20 คนที่ดักซุ่มในป่าข้างทางได้กดชนวนระเบิดแสวงเครื่องบรรจุถังน้ำยาเคมีดับเพลิงน้ำหนักประมาณ 20 กก. ที่ฝังไว้ใต้พื้นถนนระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แรงระเบิดทำให้รถยนต์ฮัมวี่กระเด็นถึงกับกระเด็นลอยขึ้นไปสูงหลายเมตรก่อนตกลงมากระแทกพื้นพลิกหงายท้องล้อชี้ฟ้าพังยับเยิน
    ปรากฏว่าอานุภาพความรุนแรงของระเบิดทำให้ ร.ต.อานนท์กับทหารในรถทั้ง ๘ นาย ร่างกระเด็นหลุดออกจากรถมานอนเกลื่อนถนนบาดเจ็บเลือดอาบร่างนอนร้องครวญคราง

  หลังจากนั้น คนร้ายสบโอกาสเห็นเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดไม่มีโอกาสต่อสู้ จึงพากันกรูออกมาจากที่ดักซุ่มตรงเข้าใช้อาวุธปืนอาก้ากับปืนเอ็ม 16 จ่อยิงซ้ำเข้าศีรษะและใบหน้าอย่างเลือดเย็นทีละคนเสียชีวิตทารุณทั้ง ๘ นาย นอกจากนี้ คนร้ายยังแสดงความป่าเถื่อนใช้มีดตัดคอเจ้าหน้าที่ทหารนายหนึ่ง แล้วนำศีรษะมาโยนทิ้งไว้ข้างรถฮัมวี่อย่างสยดสยอง จากนั้นได้ยึดเอาอาวุธปืนเอ็ม 16 จำนวน 8 กระบอก ปืนเอ็ม 60 หนึ่งกระบอก และปืนพก 11 มม. อีก 1 กระบอกหลบหนีไป


วันที่ 18 ต.ค. เวลา 23.00 มีเหตุคนร้ายดักระเบิดทหารและยิงปะทะกัน มีทหารได้รับบาดเจ็บหลายนาย บนถนนสายปูยู-โคกกระเปาะ บ้านชุมบก หมู่ 9 ต.เกาะสะท้อน ที่เกิดเหตุเป็นถนนลูกรัง พบรถยนต์ฮัมวี่ ทะเบียนตรากงจักร 30221 จอดอยู่ริมถนน กระจกหน้าแตกและตัวถังด้านขวาถูกระเบิดเป็นรูพรุน บนพื้นถนนพบหลุมระเบิดขนาดกว้าง 2 เมตร ลึก 1 เมตร และพบเศษชิ้นส่วนระเบิดแสวงเครื่อง เช่น เศษกล่องเหล็ก เชื้อปะทุ ปุ๋ยยูเรีย และชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือ กระจายเกลื่อนพื้นในรัศมี 15 เมตร
    ส่วนผู้บาดเจ็บเป็นทหาร 4 นาย สังกัดกองร้อยที่ 2 หมวดที่ 1 กองพันทหารราบที่ 21 ฉก.36 เพชราวุธ ซึ่งตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ในวัดโฆษิต อ.ตากใบ ถูกนำส่ง รพ.สุไหงโก-ลก ก่อนแล้วทราบชื่อคือ ร.ท.ศราวุฒิ คงรอด อายุ 26 ปี ถูกสะเก็ดระเบิดที่ใบหน้าและแขนซ้าย ร.ท.ชายแดน เกาะแก้ว อายุ 26 ปี ถูกสะเก็ดระเบิดที่ใบหน้า แขนซ้ายและขาขวา ส.อ.บุญจิม พลัดอยู่ อายุ 39 ปี ถูกแรงอัดระเบิดหูอื้อ และพลทหารพรศักดิ์ ไกรสิทธิ์ อายุ 23 ปี ถูกสะเก็ดระเบิดที่ใบหน้า แขนและขาขวา สอบสวนทราบว่า ร.ท.ศราวุฒินำกำลังออกตรวจความเรียบร้อยในพื้นที่ผ่านจุดเกิดเหตุถนนเป็นหลุมและมีท่อนไม้ขวางอยู่ จึงขับหลบจนทับระเบิด และคนร้ายที่แอบซุ่มในป่าข้างทางกดระเบิดทำงานสนั่น ทหารพากันหนีตายก่อนใช้ปืนยิงตอบโต้ปะทะกันนาน 10 นาที กลุ่มคนร้ายจึงล่าถอยพร้อมวางเรือใบไม่ให้เจ้าหน้าที่ตามล่า

ปี ๒๕๕๒
      ขณะที่สถานการณ์การเมืองในกรุงเทพฯยังคงยื้อแย่งอำนาจกันอยู่  ความไม่สงบในภาคใต้ที่ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง  คราวนี้ได้นายกรัฐมนตรีที่เลี่ยงการเกณฑ์ทหาร หนำซ้ำ ยังอาศัยสถาบันหลัก อันเป็นที่เคารพของนายทหาร เพื่อชุบตัวเลี่ยงความผิด มาเป็นหัวหน้ารัฐบาล ความสูญเสียของทหารและรถฮัมวี่ ก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง วาจาที่เคยปรามาศคนอื่นไว้ กลับมาทิ่มแทงตัวเอง



วันที่ 12 ม.ค.52 เวลา 14.40 น. มีเหตุคนร้ายจุดชนวนระเบิดดักสังหารเจ้าหน้าที่ทหารราบกองร้อยที่ 2 กองพันที่ 2 หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส ที่บริเวณถนนบายพาสบ้านยานิง ม.2 ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บ ๖ นาย ที่เกิดเหตุ พบหลุมระเบิดใกล้เสาไฟฟ้าริมถนนลึก 150 ซ.ม.กว้าง 2 เมตร โดยมีเศษชิ้นส่วนระเบิดแสวงเครื่องที่คนร้ายประกอบใส่ไว้ในถังดับเพลิง หนัก 20 ก.ก.จุดชนวนด้วยแบตเตอรี่ต่อสายไฟรอดท่อระบายน้ำกลางถนนยาว 200 เมตร และห่างจากหลุมระเบิด ประมาณ 50 เมตร เจ้าหน้าที่พบรถยนต์ฮัมวี่อยู่ในสภาพพังยับเยิน และเสียหลักไปชนรถยนต์กระบะยี่ห้อมิตซูบิซิ สีเขียว ทะเบียน บง-2023 ปัตตานีของชาวบ้านที่จอดอยู่ริมถนนได้รับความเสียหายอีก 1 คัน ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บมีเพื่อนทหารได้นำตัวส่งรักษาโรงพยาบาลเจาะไอร้องไปก่อนหน้าแล้ว เจ้าหน้าที่จึงได้เก็บรวบรวมหลักฐานในที่เกิดเหตุ
       ต่อมาจึงได้เดินทางไปดูอาการผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาลซึ่งล้วนถูกสะเก็ดระเบิดทั่วบริเวณลำตัว แขนและขา ประกอบด้วย 1.ร.ท.อรรถพล ใจดี 2.จ่าสิบเอกประพันธ์ศักดิ์ แสนใหม่ 3.สิบตรีประภัทร คุ้มแครง 4.พลทหารบุญมี โคตรมงคล 5.พลทหารอุทัย ฐิตสานและ 6.พลทหารนนทชัย ไม่ทราบนามสกุล แต่เนื่องจากจ่าสิบเอกประพันธ์ศักดิ์และพลทหารนนทชัย อาการสาหัสแพทย์ได้ส่งตัวรักษาต่อยังโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ในเวลาต่อมา
       จากการสอบทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ ร.ท.อรรถพล หน.ชุดได้นำผู้ใต้บังคับบัญชา รวม ๖ นาย นั่งรถยนต์ฮัมวี่เพื่อไปปฏิบัติภารกิจที่กองร้อย ตชด.447 บ้านเจาะวา อ.สุไหงปาดี เมื่อถึงที่เกิดเหตุได้มีคนร้ายไม่ทราบจำนวนแฝงตัวอยู่ในป่ารกทึบริมทาง ได้จุดชนวนระเบิดแสวงเครื่องที่ลอบนำไปฝังไว้ใต้ผิวถนน จนเกิดระเบิดขึ้นทำให้รถยนต์ฮัมวี่ของเจ้าหน้าที่ทหารที่ขับผ่านมา ถูกระเบิดที่บริเวณใต้คัดซีด้านซ้ายและลอยไปไกล ประมาณ 50 เมตร และไปชนกับรถยนต์กระบะของชาวบ้านที่จอดไว้ริมถนน ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารทั้ง 6 นายที่นั่งอยู่ในรถได้รับบาดเจ็บดังกล่าว
       8 มิ.ย.2552 เวลา 15.55 น.  เกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดรถยนต์ฮัมวี่เจ้าหน้าที่ทหารชุดรักษาความปลอดภัยครู บนถนนสาย 410 ยะลา - เบตง บ้านบราแง หมู่ที่ 3 อ.กรงปินัง ขณะออกลาดตระเวนเส้นทาง โชคดีไม่มีใครเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ ว่าเกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบกลุ่มและจำนวนลอบวางระเบิดรถยนต์ฮัมวี่ของเจ้าหน้าที่ทหาร ชุด รปภ.ครู บนถนนสาย 410 ยะลา - เบตง บ้านบราแง หมู่ที่ 3 ต.กรงปินัง อ.กรงปินัง จ.ยะลา หลังได้รับแจ้งจึงรีบเดินทางไปยังบริเวณที่เกิดเหตุ พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ฉก.13 อ.กรงปินัง ชุดศรศึก-ศรชัย (EOD ARMY) เจ้าหน้าที่ตำรวจกองวิทยาการเขต
   พบรถยนต์ฮัมวี่ ของเจ้าหน้าที่ทหาร ฉก.13 อ.กรงปินัง จอดอยู่ข้างทางแต่ไม่ได้รับความเสียหาย และ ไม่มีเจ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด จากการสอบสวนทราบว่า บนรถยนต์กล่าว มีเจ้าหน้าที่ทหาร นั่งอยู่บนรถยนต์ จำนวน ๖ นาย โดยมี ร.ท.นฤพร ยาจันทร์ เป็นหัวหน้าชุด เพื่อรักษาความปลอดภัยครู และ ลาดตระเวนเส้นทาง เมื่อขับรถยนต์มาถึงบริเวณที่เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบกลุ่มและจำนวน

ดัชนีฮัมวี่
    จากข่าวข้างต้น ช่วยกันนับหน่อยซิว่า
    เราสูญเสียทหารไปกี่นาย คงนับรวมกันได้ไม่ยาก
   เพราะตัวเลขจากข่าวที่คัดลอกมา ได้เปลี่ยนเป็นเลขไทย เลือดไทย ให้แล้ว
   และช่วยคิดต่อด้วยว่า นอกจากรถฮัมวี่ จะมีรถถัง เครื่องบิน เรือ หรือยานรบ ลำใด
     ที่ปกป้องทหารของเรา จนวาระสุดท้าย
  แม้มันไม่ใช่รถหุ้มเกราะ แต่จะเห็นได้ว่า เมื่อรถฮัมวี่ถูกลอบวางระเบิดแล้ว
  โครงสร้างตัวรถ ได้ปกป้องทหารไว้ ตัวรถไม่เกิดไฟไหม้
  ทหารของเราสูญเสียชีวิตจากการถูกยิงซำ
  www.thaic-130.com ขอแสดงความเคารพต่อทหารผู้กล้าของเรา
    ความสูญเสียที่เกิดขึ้น กองทัพไทยจะโบ้ยความผิด โยนความรับผิดชอบไปให้หน่วยงานอื่นไม่ได้อีกแล้ว ก่อนหน้านี้ ทหารใหญ่ในยุคหัวหน้ารัฐบาล มาจากการเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร มักกล่าวหา รัฐบาลที่มาจากเสียงของคนรากหญ้า ว่าไม่เข้าใจสถานการณ์ภาคใต้ดีพอ แต่หลังจากการปฏิวัติเมืองไทยเมื่อเดือนกันยายน 2549 ประเทศไทย มีหัวหน้ารัฐบาลที่มาจากทหารโดยตรง ก็มิได้หยุดความรุนแรงทางภาคใต้ แม้จะได้ก้มยอมกล่าวขอโทษกลุ่มผู้ก่อการไปแล้ว การสูญเสียชีวิตทหารพร้อมกับรถฮัมวี่สะท้อน ความเป็นมืออาชีพ ของหน่วยงานในการรักษาความมั่นคงของชาติได้เป็นอย่างดี

กองทัพไทย นำฮัมวี่ และรถถัง ออกมาเพื่อปฏิวัติ กลางกรุง
สื่อสารมวลชนไทย ประโคมข่าวการสูญเสียชีวิตทหารพร้อมกับรถฮัมวี่ ทางภาคใต้

    ทหารใหญ่ที่หลงอำนาจ แทนที่จะนำกำลังและอาวุธไปรักษาความสงบภาคใต้  กลับตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง
   นำทหารชั้นผู้น้อยและงบประมาณ
   ตกหลุมพรางทางการเมือง อย่างยากที่จะถอนตัว หลงคะนองในคุณธรรม
   แทนที่จะทำหน้าที่หลักของตน กลับนำทัพไปเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ของกลุ่มคน ที่ให้คุณแก่ตน

 ทุกครั้งที่ทหารตาย ข้างรถฮัมวี่
 ทหารใหญ่ที่หวังผลทางการเมือง มักจะลงไปแจกซอง  
 ทหารใหญ่ไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนยุทธวิธี
 ทหารใหญ่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า วีบีไออีดี ที่ทำให้ รถฮัมวี่หงายท้อง คืออะไร
 ทหารชั้นผู้น้อย ตายท่าเดิมซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า

 สื่อสารมวลชนไทย ตกเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายก่อความไม่สงบ อย่างไม่รู้ตัว
 สื่อไทย ประโคมข่าวและรายละเอียดความสูญเสียอย่างละเอียดยิบ

  ในทางทหาร
   เมื่อเราโจมตีข้าศึกแล้ว เรายังจำเป็นต้องส่งเครื่องบิน หรือหน่วยข่าว
  ไปพิสูจน์ทราบผลการโจมตี อีกครั้งหนึ่ง
  แต่ข่าวความสูญเสียของฝ่ายเราจะต้องได้รับการปกปิด
   หากฝ่ายเราตาย ก็ให้แจ้งว่าเพียงแค่บาดเจ็บ
   หากฝ่ายเราบาดเจ็บสาหัส ก็ให้ประกาศว่าปลอดภัยดี

   แต่นี่กระไร
  ภาพทหารนอนตาย
  ภาพรถฮัมวี่หงายท้อง
  สื่อไทย รายงายให้คนทั้งโลกรู้ ทั้งหมดว่า
  กองทัพสูญเสียกำลังพลไป เท่าไร
  อาวุธชนิดใดถูกทำลาย
  ทหารที่ตาย บาดเจ็บ ชื่ออะไร
  มาจากหน่วยไหน ส่งไปรักษาตัวที่ไหน

 ฝ่ายตรงข้าม ทราบผลการโจมตีได้ทั้งหมด!!!
 โดยที่ไม่ต้องส่งหน่วยข่าวมาพิสูจน์ทราบ
ข้าศึกกดระเบิดแล้ว กลับไปนั่งดูทีวี ที่บ้านได้เลย
คอยรับเงิน และผลประโยชน์ จากกลุ่มที่อยู่เบื้องหลัง ได้ทันที
เพราะมีสื่อไทยคอยรายงานผลให้ทราบ

ดัชนีรถฮัมวี่ ช่วยทำให้เห็นว่า
ทหารใหญ่ของไทย ในยุคหลังการปฏิวัติ 2549 หลงอำนาจทางการเมือง
สื่อไทยขาดสำนึก ในหน้าที่ของตน
ทั้งสองสถาบัน ปล่อยให้ทหารชั้นผู้น้อย และกองทัพเผชิญกับภัยคุกคาม ที่ยังไม่อาจหาตัวตนได้


      รถฮัมวี่ เป็นยานยนต์ทางทหาร ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการทางยุทธวิธี สามารถปฏิบัติการได้ในทุกสภาพภูมิอากาศ ทุกสภาพภูมิประเทศ ได้เข้าการประจำการในกองทัพต่างๆ หลายประเทศ ได้รับการพัฒนา และดัดแปลงเพื่อให้เหมาะกับ สถานการณ์การรบ ในรูปแบบต่างๆ ทั้งยังถูกดัดแปลง ขายให้กับประชาชนทั่วไป ที่มีจิตใจเป็นทหาร อยากรู้เหมือนกันว่า เมื่อถึงคราวจวนตัว นายกรัฐมนตรีของไทยบางคน ที่มิได้มีหัวใจนักรบ จะใช้มันเป็นเกราะกำบังอีกหรือเปล่า และเมื่อมันได้ถูกนำเข้าในสถานการณ์ที่เกี่ยวโยงกันทั้งการทหารและการเมือง มันได้สะท้อนให้เห็นถึงความเข้มแข็งของประเทศได้เป็นอย่างดี
 อ้างอิง
http://www.fas.org/man/dod-101/sys/land/m998.htm
http://www.amgeneral.com/vehicles/hmmwv/
http://www.tpub.com/content/hummer/




 ข้อมูลสมรรถนะ M1025
เครื่องยนต์ดีซล 4 จังหวะ 8 สูบ           150 HP
ความเร็วสูงสุด            88 กม./ชม
ความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิง         92.7 ลิตร
ระยะปฎิบัติการ           515 ก.ม.
ระบบไฟฟ้า     24 โวลท์
ความสามารถในการปีนลาด   60 %
ลุยน้ำได้ลึก (ปกติ)        760 มม.
ลุยน้ำได้ลึก ติดตั้งอุปกรณ์ลุยน้ำ         1,520 มม.
 ระบบเกียร์ TURBO HYDRA-MATIC 400    อัตโนมัติ 3 จังหวะ
น้ำหนักรถ Kg 4676
น้ำหนักบรรทุก Kg      2706



เครื่องบินอื่นๆ
  A-10 Warthog [20 พฤศจิกายน 2553 10:31 น.]
  AU-23A Peace Maker [11 ตุลาคม 2553 13:12 น.]
  HC-130 [17 กันยายน 2553 21:00 น.]
  C-123 Provider [23 มิถุนายน 2553 09:00 น.]
  C-2 KAWASAKI [5 พฤษภาคม 2553 16:41 น.]
  WC-130 Hurricane Hunter [8 มีนาคม 2553 11:10 น.]
  KC-130 Tanker
 Ilyushin IL-76
  A400M
  C-17

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น